- รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ xEV ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ครองส่วนแบ่งในตลาดโลก 10% และในยุโรปกว่า 25%
- ยอดขายรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั่วโลกในไตรมาสแรกเติบโตถึง 21.8% (581,270 คัน)
- ยอดขายเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในจีนทำสถิติ 222,520 คัน สูงสุดของสถิติไตรมาสแรก (เพิ่มขึ้น 60.1%)
- เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ครองแชมป์ตลาดรถยนต์หรูในไตรมาสแรกด้วยจำนวนรถยนต์จดทะเบียนรวม 3,178 คัน
- ยอดจอง EQA พลังไฟฟ้าทั่วโลกสูงถึง 20,000 คัน ( ใช้พลังงานไฟฟ้ารวม 15.7 กิโลวัตต์ / 100กิโลเมตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 0 กรัม/กม.)
“เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำยอดขายทั่วโลก 590,999 คัน (เพิ่มขึ้น 22.3%)ในไตรมาสแรกของปี 2564 อันเป็นผลมาจากยอดขายในประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา รวมถึงความต้องการที่สูงขึ้นอย่างมากในกลุ่มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนจากแบตเตอรี่ ในยุโรปยอดขายรถยนต์ 1 ใน 4 ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์และแบรนด์สมาร์ท เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (xEV) สำหรับในตลาดโลก รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า 100% มีสัดส่วน 10% ของยอดขายทั้งหมด หรือประมาณ 59,000 คัน ในจำนวนนี้ เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% จำนวน 16,000 คัน โดยรถยนต์รุ่น EQA ที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม และได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าด้วยยอดจองประมาณ 20,000 คัน นับเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นปีสำหรับแบรนด์ Mercedes-EQ ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์สำหรับปี 2564” มร.บริตตา ซีเกอร์ กรรมการในคณะกรรมการบริหารเดมเลอร์ เอจี และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ซึ่งกำกับดูแลงานด้านการตลาดและการขาย กล่าว ทั้งนี้รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่น EQA มีกำหนดส่งมอบปลายเดือนมีนาคม 2564
“นอกเหนือจากรถยนต์รุ่น EQS, EQB และEQE เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องในปี 2564 โดยเปิดตัวรถในกลุ่มรถไฟฟ้าใหม่อีก 3 รุ่น รวมเป็น 6 รุ่น และล่าสุดเราได้นำเสนอรถยนต์ EQS ในฐานะรถยนต์รุ่นแฟลกชิพของเรา ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า จะเป็นรถยนต์ที่ผู้ใช้ทั่วโลกจะชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง และจะเป็นรุ่นที่พลิกประสบการณ์การขับขี่ รวมถึงเรื่องการเชื่อมต่อกับบริการต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น” มร.บริตตา ซีเกอร์ กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์จะยังคงขยายการเติบโตและสร้างความน่าสนใจให้กับกลุ่มรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าด้วยการนำเสนอรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่หลากหลายรวมแล้วราว 30 รุ่นจนถึงสิ้นปีนี้
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ลักชัวรีในไทย โดยในไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งในเรื่องนวัตกรรม บริการที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์ยานยนต์ รวมถึงเครือข่ายดิจิทัลของเทคโนโลยีแห่งอนาคต ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดขายรถยนต์ที่จดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบกแล้วทั้งสิ้นถึง 3,178 คัน ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มรถยนต์ลักชัวรี ทั้งนี้ยังเป็นผลมาจากการที่เราสามารถเพิ่มปริมาณรถยนต์ให้เพียงพอต่อการส่งมอบในเดือนมีนาคม โดยยังรวมถึงการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ออกมาได้อย่างหลากหลายรุ่นมากที่สุดในตลาดรถยนต์ไทย โดยรถที่ได้ความนิยมสูงอยู่ในกลุ่มรถยนต์ Mercedes-AMG รถยนต์เอสยูวี และกลุ่มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ทั้งนี้ ยอดขายในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ยังไม่รวมยอดจองในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดจองเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถยนต์ลักชัวรีด้วยเช่นกัน และเช่นเดียวกับในตลาดโลก เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จะยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมและตลาดรถยนต์ในประเทศไทย โดยเรามีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 15 รุ่น ซึ่งรวมถึงรถยนต์รุ่นปลั๊กอินไฮบริดอีกหลายรุ่นด้วย เพื่อตอบรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจในปีนี้”
ยอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในภูมิภาคและรายตลาดเป็นดังนี้
ยอดขายในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มขึ้น 46.6% เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศจีนที่มีการส่งมอบรถยนต์ 222,520 คันในไตรมาสที่ 1 คิดเป็นการเติบโตถึง 60.1% เฉพาะในเดือนมกราคมที่ผ่านมาสร้างสถิติยอดขายถึงเกือบ 100,000 ภายในเวลาเพียง 1 เดือน ขณะที่ในยุโรป ท่ามกลางการมาตรการล็อกดาวน์ต่อเนื่องในช่วงต้นปีนี้ เราสามารถทำยอดขายได้สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วคือเพิ่มขึ้น 1.8%
ในเยอรมนี เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำยอดขาย 54,446 คัน (ลดลง 15.4%) ตลาดอเมริกาเหนือมียอดขายรวม 88,318 คัน (เพิ่มขึ้น 12.5%) ในจำนวนนี้ 78,256 คัน เป็นรถยนต์ที่ส่งมอบในตลาดสหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้น 15.5%) นอกจากนี้ ในตลาดสหรัฐอเมริกา เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังเป็นแชมป์ยอดขายสูงสุดของตลาดรถยนต์ลักชัวรีในไตรมาสแรกอีกด้วย
สรุปจำนวนยอดขายรถยนต์นั่งและรถตู้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในตลาดโลก
จำนวนยอดขายทั่วโลก 581,270 คัน เพิ่มขึ้น 21.8% ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม โดยยอดขายของรถยนต์ New S-Class ได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างดีด้วยสถิติยอดจองมากกว่า 50,000 คัน นอกจากนี้ การเติบโตของยอดขายของรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ยังแบ่งออกได้ดังนี้ รถยนต์รุ่น S-Class เพิ่มขึ้น 17% กลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ SUV เพิ่มขึ้น 54.3% รถยนต์รุ่น E-Class ทั้งแบบรถยนต์นั่ง 4 ประตูและแบบเอสเตท เพิ่มขึ้น 23.9% ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของอัตราการเติบโตของยอดรถยนต์ส่งมอบยังแข็งแกร่งในระดับเลขสองหลัก สำหรับกลุ่มไฟฟ้าขนาดเล็กแบรนด์สมาร์ท (Smart) มียอดขายทั้งรถแบบ 2 ประตูและ 4 ประตูรวม 9,729 คัน มีอัตราการเติบโตรวมสูงถึง 65.9% จากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในเยอรมนี
จากสถานการณ์ที่หลายประเทศในยุโรปยังมีการล็อกดาวน์ กลุ่มรถตู้เพื่อการพาณิชย์มีอัตราเติบโต 18.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ยอดขายรวมของรถตู้สปรินเตอร์ วีโต้ วีโต้ทัวเรอร์ และ ซีตัน มีจำนวน 76,328 คัน ในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปทำยอดขายรถตู้เพื่อการพาณิชย์ได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในยุโรปรถตู้ไฟฟ้าสปรินเตอร์ โดยรถยนต์รุ่น eSprinter และ eVito ถือเป็นรุ่นที่ช่วยเพิ่มการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
“ยอดขายรถตู้ไฟฟ้า 1,200 คันในไตรมาสแรกนับว่าได้สร้างสถิติใหม่ของอัตราการเติบโตที่สูงถึง 150%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นการตอกย้ำเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่จะผลักดันการรถใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์จะเปิดตัวรถตู้รุ่นซีตัน (Citan) ใหม่ โดยจะมีรุ่นที่เป็นรถไฟฟ้าตามมาในปีหน้า นั่นหมายความว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์จะเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มี รถตู้ไฟฟ้าในทุกเซกเมนต์” มร. มาร์คุส ไบรท์ชแวท หัวหน้ากลุ่มรถยนต์ตู้กล่าวแสดงความมั่นใจ
ตารางแสดงภาพรวม ยอดขายรถยนต์และรถตู้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์
*หมายรวมถึงรถยนต์รุ่น V-Class และ X-Class
เกี่ยวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 170,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ยานยนต์ไร้คนขับ และยานยนต์ทางเลือก โดยการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค และเมอร์เซเดส-มี รวมทั้งแบรนด์สมาร์ท และแบรนด์อีคิว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับพรีเมี่ยมรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2563 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกือบ 2.1 ล้านคัน และรถตู้กว่า 375,000 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตกว่า 35 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองกลุ่มธุรกิจ สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเดมเลอร์ ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม
No comments:
Post a Comment